วันอังคารที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

เสริมหน้าอกด้วยวิธีการฉีดฟิลเลอร์

          หมดปัญหา ลดความกังวลใจ สำหรับใครที่ต้องการเพิ่มขนาดหน้าอก แต่กลัวห้องผ่าตัด กับวิธีการเสริมหน้าอกด้วยการฉีดฟิลเลอร์ สารเติมเต็มสาระพัดประโยชน์ที่ใช้ในสถาบันความงาม ไม่ว่าจะเป็นการ ฉีดล่องแก้ม  ลบร้อยเหี่ยวหย่น(รอยตีนกา หน้าผาก คอ) การกระชับสัดส่วนที่หย่อนคล้อยเนื่องจากการเสื่อมสภาพเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น เช่น ยกกระชับใบหน้า ยกกระชับต้นขา เป็นต้น

สาระหน้ารู้เรื่องการเสริมหน้าอกด้วยการฉีดฟิลเลอร์


  • พิจารณาเลือกใช้บริการกับแพทย์ คลินิกที่มีประสบการณ์รักษา
  • รับฟังคำแนะนำ คำปรึกษาจากแพทย์ก่อน เกี่ยวกับข้อตกลงเรื่องขนาด ว่าจำเป็นต้องใช้ปริมาณสารฟิลเลอร์เท่าไรจึงจะเหมาะสมกับขนาดที่ต้องการ
  • งดรับประทานวิตามิน ยาที่ส่งผลต่อระบบการไหลเวียนของเลือกก่อนเข้ารับการฉีดฟิลเลอร์เสริมหน้าอก อย่างน้อย 3-7 วัน
  • ควรดื่มน้ำให้มากๆ เพื่อให้สารฟิลเลอร์คงอยู่ได้ยาวนานขึ้น
  • หลีกเลี่ยงท่านอนคว่ำ หรือสัมผัสกับหน้าอกแรงๆ
  • ข้อดีของการฉีดสารฟิลเลอร์เสริมหน้าอก คือ
    •     ไม่ต้องผ่าตัด
    •     ไม่ต้องนอนพักรักษาตัว สามารถกลับไปพักต่อที่บ้านได้ทันทีภายหลังการรักษา
    •     ทรงเต้านม ลักษณะเสมือนธรรมชาติ มากกว่าการเสริมหน้าอกด้วยวิธีอื่นๆ
  • ข้อเสียคือ ไม่สามารถเพิ่มขนาดให้ใหญ่ตู้ม เพราะปริมาณที่สามารถฉีดได้อย่างมากข้างละ 150 ซีซีเท่านั้น

เสริมจมูกมาแล้ว ควรดูและตัวเองอย่างไร

          หลังจากที่ผ่านเทคนิคการผ่าตัดทำศัลยกรรมจมูกจากมีดหมอที่มีประสบการมาแล้วนั้น ปัญหาการเสริมจมูกยังไม่จบแต่เพียงเท่านั้น เพราะหากคุณดูแลรักษาอาการบาดเจ็บได้ไม่ดี หรือไม่ถูกสุขลักษณะแล้ว อาจเกิดความเสี่ยงที่ส่งผลทำให้จมูกทะลุ จมูกบิด เบี้ยว บาดแผลอักเสบ ก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้สูง โดยเฉพาะภายหลังจากการผ่าตัดเสริมจมูก 3-6 เดือนแรกต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ซึ่งหลักๆ แล้ว คือการควบคุมอิริยาทบต้องห้ามทั้งหลาย อาทิเช่น การนอนหลับ การออกกำลังการ การทำงานหนักที่ส่งผลกระทบกระเทือนไปยังบริเวณดั่งจมูก เป็นต้น

         โดยภายหลังจากการผ่าตัดเสริมจมูกจะมีอาการปวด บวม แดง แต่จะแสดงอาการออกมามากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของผู้ป่วยแต่ละคน เนื่องจากเนื้อเยื้อของคนเราไม่เหมือนกัน บางคนรับปรับกับสิ่งแปลกปลอมได้เร็ว แต่บางคนเนื้อเยื้ออาจไม่รับก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุทำให้เกิดอาการอักเสบเรื้อรังได้เช่นเดียวกัน

วิธีการรักษาอาการภายหลังเสริมจมูก


  • ประคบเย็นเพื่อลดอาการปวด อาการบวม อาการเจ็บช้ำ
  • หลีกเลี่ยงการนอนตะแคง
  • งดกิจกรรมที่เสี่ยงต่อแรงสั่นสะเทือนไปยังโพรงจมูกเพราะอาจทำให้แท่งซิลิโคนทะลุได้
  • ระวังอย่างให้สุขภาพร่างกายเสี่ยงต่ออาการเจ็บไข้ ได้ป่วย เพราะอาจเกิดอาการไอ จาม และน้ำมูกไหล เป็นผลเสียต่อการรักษาบาดแผลหลังการผ่าตัด ซึ่งอาจเป็นสาเหตุทำให้แผลติดเชื้อเอาได้
  • งดอาหารที่มีรสเผ็ดเพราะจะทำให้น้ำมูกไหล เพราะอาจทำให้แผลติดเชื้อได้

วันพุธที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2557

เทคนิคการแต่งหน้าไม่ให้เกิดสิว

สิว สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ทุกพื้นที่ของร่างกาย สาเหตุเกิดขึ้นจาก
  • พันธุกรรม
  • ความเคลียด
  • พักผ่อนไม่เพียงพอ
  • การใช้เครื่องสำอางค์แต่งหน้า
  • ระบบการไหลเวียนเลือดภายในร่างกายไม่เป็นปกติ
  • ระดับฮอร์โมนเปลี่ยน โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น


วันนี้เรามีเคล็ดลัพธิ์ดีๆ มาฝาก สำหรับสาวๆ ที่อยากรู้ว่าแต่งหน้าอย่างไรไม่ให้เกิดสิว
  • การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน
  • เลือกเครื่องสำอางค์ที่เหมาะกับสภาพผิวของตัวคุณเอง (มีสูตรดูดซับความมันบนใบหน้า)เนื่องจากแต่ละคนมีสภาพผิวมัน แห้งที่แตกต่างกันเครื่องสำอางค์ที่ใช้ต้องมีเป็นยี่ห้อที่น่าเชื่อถือ ไว้วางใจได้ ระบุแหล่งผลิต วัน เดือนปีที่ผลิตและหมดอายุไว้อย่างชัดเจน
  • ลงลองพื้นที่มีระดับความเข้ม จางของสีเท่ากับสีผิวจริง จะได้ดูเรียบเนียน ไม่หลอกตา อีกทั้งยังไม่จำเป็นต้องลงหนา ทำให้ไปอุดตันรูขุมขนก่อให้เกิดปัญหาสิวได้
  • สำหรับคนที่แต่งหน้าจัด ต้องละเอียดอ่อนในเรื่องการชำระล้างใบหน้าเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นรอบดวงตา ปาก โดยเฉพาะก่อนเข้านอนต้องฟื้นฟูสภาพผิวด้วยโทนเนอร์ เพื่อปรับความสมดุลของน้ำ และไขมันใต้ผิวหนัง

วันศุกร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

อาหาร 8 อย่างป้องกันสิว



เบื่อมั๊ย ที่ต้องรักษาสิวอยู่ตลอดๆ ลองคำนึงดูว่า หากว่าคุณประสบปัญหาเช่นนี้
อาจเป็นเพราะว่ายังดูแลตัวเองไม่ดีพอหรือเปล่า ?!!
เพราะการหยุดสิวด้วยการรักษาถือว่าเป็นการแก้ไขปัญหาที่ปลายทาง
ถ้าแก้จากต้นทางก็ต้องเริ่มการป้องกันหรือระวังไม่ให้เกิดสิวค่ะ

นอกเหนือจากการทำความสะอาดแล้ว การรับประทานอาหารก็มีส่วนสำคัญนะคะ

วันนี้เรามีอาหารต้านสิว 8 อย่าง
ที่สามารถช่วยป้องน้องสิว อีกทั้งได้สุขภาพอีกด้วยนะคะ J
     1. แซลมอน

ปลาแซลมอนอุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่ช่วยยับยั้งการเกิดสิวบนผิวกาย ทั้งยังช่วยปรับฮอร์โมนของคุณให้สมดุล ส่งผลให้อารมณ์ของคุณมั่นคง ซึ่งอารมณ์ร้อน ชอบเหวี่ยง ก็ส่งผลให้เกิดสิวได้นะคะ นอกจากนี้โปรตีนและคอลลาเจนที่ได้จากเนื้อปลาแซลมอน ยังสามารถช่วยเสริมสร้างให้ผิวของคุณแข็งแรง ยืดหยุ่น และกักเก็บรักษาความชุ่มชื้นของผิวได้ดีด้วยค่ะ 

       2. ผักโขม 

         ผักโขม อุดมไปด้วยวิตามินอี โปรตีน และธาตุเหล็ก จะทำให้เลือดไหลเวียนได้ดี ทำให้ผิวของคุณดูเปล่งปลั่งสุขภาพดีตามไปด้วย ทั้งยังช่วยต่อต้านอาการอักเสบ จึงป้องกันไม่ให้สิวอักเสบ แถมยังรักษาระดับคอลลาเจนในผิวให้เหมาะสมด้วยค่ะ
       3. อัลมอนด์ 

          อัลมอนด์อุดมไปด้วยแมกนีเซียม วิตามินอี และวิตามินบีต่างๆ มีไฟเบอร์สูง แคลอรี่ต่ำกว่าถั่วอื่นๆ คุณสามารถเลือกกินเป็นอัลมอนด์เม็ด หรือน้ำนมอัลมอนด์ก็ได้ มีประโยชน์กับผิวมากๆเลยค่ะ

      
 4. เมล็ดเจีย (Chia seeds)

          เมล็ดเจียอาจเป็นพืชที่ไม่ค่อยคุ้นหูเรามากนัก เพราะเพิ่งค้นพบวิธีใช้ประโยชน์มันเมื่อไม่นานมานี้เองค่ะ เป็นพืชตระกูลเดียวกับต้นแมงลัก จะพองตัวเมื่อนำไปแช่น้ำ อุดมไปด้วยโปรตีน กรดไขมันโอเมก้า 3 และ 6 ไฟเบอร์ วิตามินอี และวิตามินบีต่าง ๆ สารอาหารทั้งหมดนี้ไม่เพียงดีต่อผิวของคุณเท่านั้น ยังดีต่อการรักษาน้ำหนัก ช่วยการขับถ่าย กระตุ้นกระบวนการเผาผลาญพลังงาน ทำให้ไม่อ้วนอีกด้วยค่ะ ;)
       5. น้ำมันมะพร้าว 

น้ำมันมะพร้าว เป็นตัวต่อต้านรวมทั้งช่วยรักษาสิวที่แสนมหัศจรรย์อย่างมาก เพราะมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้เป็นอย่างดีทีเดียวค่ะ
       6. แตงกวา

         นอกจากแตงกวาจะช่วยเรื่องความชุ่มชื้นแล้ว ยังมีประโยชน์ช่วยต่อต้านสิวได้ด้วย เพราะผิวของแตงกวามีซิลิกา ซึ่งเป็นแร่ธาติที่ช่วยป้องกันสิวชั้นเยี่ยมเลยล่ะค่ะ
       7. ถั่วลูกไก่ (Chickpeas)

          ถั่วลูกไก่อุดมไปด้วยสังกะสี ช่วยต่อต้านอาการอักเสบ ติดเชื้อ ซึ่งเป็นอาการของสิวอักเสบที่ทำให้คุณเจ็บระบม นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยธาตุเหล็ก โปรตีน วิตามินบี ไฟเบอร์สูง ไขมันต่ำ แถมยังช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้สมดุลอีกด้วย
       8. ผักผลไม้สีส้ม 

          ผักผลไม้สีส้ม เช่น แครอท มันหวาน ฟักทอง และแคนตาลูป อุดมไปด้วยวิตามินเอในรูปของเบต้า แคโรทีน ซึ่งเป็นศัตรูคู่ต่อสู้ของสิวตัวฉกาจค่ะ นอกจากช่วยต่อสู้สิวแล้วยังทำให้ผิวมีสุขภาพดีด้วยนะคะ


วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ข้อห้ามสำหรับคนเสริมจมูก





ในยุคแห่งการทำศัลยกรรมที่กำลัง Hot แบบสุดๆ และบวกกับ คนรอบข้างพากันไปทำศัลยกรรม ทำมาแล้วก็สวยเป๊ะ หน้าปลวกเป็นนางฟ้าขึ้นมาได้ เดือดร้อนล่ะสิ ต้องเช็คตัวเองซะแล้ว เดี๋ยวน้อยหน้าคนรอบข้าง จุดบกพร่อง เห็นทีก็มีแต่จมูกเนี่ยแหละ (สงสัยตอนเด็กแม่ลืมดึงดั้ง -*- ) แต่ก่อนจะไปเสริมจมูก ก็ได้หาข้อมูลในการเสริมจมูก ที่ก่อนหรือหลังเสริมจมูก เราควรหรือไม่ควรทำอะไรบ้าง ว่าแล้วก็ไปดูข้อมูลกันเลยจ้า >//<

         ป่วยหรือมีโรคประจำตัว 
อย่าเพิ่งเสี่ยงเสริมจมูก! สำหรับคนที่มีความเสี่ยงหรือกำลังเป็นโรคระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น โรคเอดส์ โรคหัวใจ โรคความดัน โรคเบาหวาน กลุ่มโรคเลือด เบาหวาน โรคไต และโรคภูมิแพ้ จำเป็นต้องปรึกษาศัลยแพทย์หรือรักษาให้หายดีก่อนนะ เพราะว่าอาจเสี่ยงแผลติดเชื้อ O_O’

         
ห้ามแคะ บีบ เกาจมูกและทำให้แผลโดนน้ำอย่างเด็ดขาด  
ในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกหลังการทำศัลยกรรมเสริมจมูก ใช้ผ้าเช็ดทำความสะอาดหน้าเว้นบริเวณจมูกไว้ 

         ห้ามนอนคว่ำและนอนตะแคง เพราะอาจทำให้จมูกเอียงรวมถึงทำให้แผลหายช้า   ควรนอนหงายโดยการนอนหมอนสูงกว่าปกติประมาณ 1 สัปดาห์ค่ะ ใครชอบนอนคว่ำควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมนะคะ เดี๋ยวจมูกไม่สวยได้รูปนะ

         ห้ามออกกำลังกายอย่างหนัก เดี๋ยวก้มบ้าง เงยบ้าง ควรงดไปก่อนในเดือนแรกหลังจากเสริมจมูก เพราะอาจทำให้จมูกได้รับการกระทบเทือนได้ จมูกจะอักเสบ หรืออาจเบี้ยวได้

         งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อาหารหมักดองและอาหารรสเผ็ดจัด แอลกอฮอล์และบุหรี่ควรงดก่อนและหลังการทำจมูกอย่างน้อย เดือน เพราะการดื่มแอลกอฮอล์ เป็นผลกระตุ้นให้การทำงานของเลือดสูบฉีด จะทำให้จมูกบวมและอาจปวดจมูกมากขึ้นกว่าเดิมค่ะ อีกทั้งยังจะทำให้แผลหายช้าและติดเชื้อได้อีกด้วย

         
หลีกเลี่ยงการเผชิญฝุ่นละอองและควัน เพราะฝุ่นละอองและควันเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดการแพ้อากาศ อาจเป็นหวัด จึงควรป้องกันไม่ให้เป็นหวัดหรือมีน้ำมูก หากมีอาการควรรีบรักษาให้หายทันทีด้วยการกินยาลดน้ำมูกหรือยาแก้แพ้

         
งดกิจกรรมเสริมความงามบนใบหน้า ในขณะที่แผลยังไม่หายดี อาจทำให้เกิดการอักเสบและเป็นอันตรายต่อตัวคุณเองได้ ดังนั้นควรอดใจรอเวลาอย่างน้อย 1 เดือนขึ้นไป หลังจากนั้นควรจะปรึกษาแพทย์ เพื่อให้แน่ใจว่าแผลหายดีแล้วจึงค่อยเสริมสวยกันค่า


นอกจากนี้ควรระวังอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นจากเด็กเล็กที่กำลังซน

และสัตว์เลี้ยงภายในบ้านด้วยนะคะ 

เรียกว่าอยู่ห่างๆกันก่อนจะดีที่สุดค่ะ :)